Cryptocurrency คือสกุลเงินดิจิทัลที่มีเรื่องราว พื้นฐานคริปโตเคอร์เรนซี มากมายให้เราได้เรียนรู้และศึกษา สำหรับมือใหม่ที่กำลังเข้ามาลงทุนในตลาดแห่งนี้คงรู้สึกสนุกและตื่นเต้นไปกับการได้ลองสิ่งใหม่ ๆ ที่มีอะไรให้คุณได้เรียนรู้อีกมากมาย เพราะโลกแห่งการลงทุนแบบใหม่มันกว้างใหญ่มาก จนคุณไม่สามารถเรียนรู้วันเดียวได้หมด วันนี้เราก็มี 10 เรื่อง พื้นฐานที่คุณควรรู้ อ่านจบแล้วจะเข้าใจการลงทุนในคริปโตมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
Table of Contents
คริปโตมีเทคโนโลยี Blockchain อยู่เบื้องหลัง
Blockchain คือเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ หรือ Distributed Ledger Technology (DLT) มีรูปแบบการบันทึกข้อมูลโดยใช้หลักการ Cryptography หรือการเข้ารหัสลับ ซึ่งเป็นหลักการในการเก็บรักษาข้อมูลได้เป็นอย่างดี ยากต่อการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง
Bitcoin เป็นจุดเริ่มต้นของ Blockchain
Sathoshi Nakamoto ผู้กำเนิด bitcoin ได้คิดโจทย์ของตัวเองขึ้นมาว่า จะทำอย่างไรถึงจะสร้างสกุลเงินที่ไร้ตัวกลาง ไร้คนควบคุม แต่มีความปลอดภัยขึ้นมาได้ จึงค้นพบเทคโนโลยี Blockchain ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ในการสร้าง Bitcoin ให้สำเร็จ แม้จะยังไม่มีปรากฎข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง Blockchain แต่ถ้าหากมองย้อนกลับไปว่าถ้าหากเราไม่ต้องการสร้างสกุลเงิน Bitcoin นี้ขึ้นมา เราก็อาจจะไม่เห็นเทคโนโลยี Blockchain ก็เป็นได้
กระเป๋าเงินดิจิทัล ยากต่อการถูก Hack
การจะแฮกกระเป๋าเงินดิจิทัลได้นั้นคุณสามารถทำได้ หากคุณรู้รหัสผ่าน (Private key) ของกระเป๋า Bitcoin แต่ถ้าหากคุณไม่รู้แล้วพยายามที่จะสุ่มรหัสเพื่อคาดเดารหัสลับไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถูกต้อง และต่อให้มีการประมวลผลด้วยความเร็วในการสุ่ม 1ล้านล้าน Private key/นาที โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่มีกำลังสูงมาก ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลานานมาก หากจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็คงนานเทียบเท่าอายุของจักรวาลนี้เลยทีเดียวกว่าที่จะมีโอกาสสุ่มเจอ และพลังงานที่ใช้ในการประมวลผลอาจจะมากพอกับพลังงานทั้งหมดที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาอย่างน้อยประมาณ 32 ปี นั้นหมายถึงการจะเข้าถึงกระเป๋าเงินบิทคอยน์คือต้องรู้กุญแจส่วนตัว จึงมีความเป็นไปได้ยากมากที่กระเป๋าบิทคอยน์จะถูกแฮก
เหรียญคริปโตมีการแบ่งชั้น (แบ่งชั้นของ Blockchain)
การแบ่งชั้นของบล็อคเชนสามารถอธิบายได้ว่า Blockchain Layer-1 หมายถึง โปรเจคต์ที่มีเหรียญของตัวเอง หรือถูกสร้างมาใช้เพื่องานภายในระบบของตัวเองเช่น Bitcoin, Ethereum, EOS, TRON ฯ เหรียญเหล่านี้เราจะเรียกมันว่า Layer-1 ของบล็อกเชน ส่วน Blockchain Layer-2 คือการสร้าง Layer ขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นเพื่อเป็นส่วนย่อยของ Layer 1 ส่วนใหญ่ Blockchain Layer-2 ถูกออกแบบมาเพื่อเช่น Layer 2 ของ Ethereum ก็จะมี โปรเจคต์ต่าง ๆ เช่น Polygon, Loopring, SKALE network, Eden network
สกุลเงินดิจิทัล Digital Currency
Coin คือ เหรียญหรือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบเฉพาะเจาะจง สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ทำหน้าที่เช่นเดียวกับเงินตรา (Currency) ส่วนสกุลที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาก้อย่างเช่น Bitcoin, Ethereum coin, Lite coin, Doge coin
Stable Coin กับสินทรัพย์ที่นำมาหนุนหลัง
หลายคนใช้งาน Stablecoin เพื่อเป็นที่พักเงินในช่วงตลาดขาลง เพราะ Stable Coin ส่วนใหญ่มีมูลค่าคงที่และมูลค่าใกล้เคียงกับเงินดอลลาร์ 1 หน่วย Stable Coin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ USDT แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อครหาและความสงสัยที่มีต่อบริษัทผู้ผลิตเหรียญ USDT เนื่องจากมีข้อกังขาที่ว่าการนำสินทรัพย์ต่าง ๆ มาเป็นหลักค้ำประกันในการอ้างอิงเพื่อเพื่อผลิตเหรียญ USDT เพิ่มนั้นมีรองรับเท่ากับเหรียญที่ผลิตออกมาหรือไม่ ?
ข้อกังขาเหล่านี้จึงส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ USDT และทำให้ USDT ไม่สามารถสู้ stablecoin อื่น ๆ อย่าง TUSD หรือ Dai ฯ ที่บริหารผ่าน Smart Contract ได้ แต่อย่างไรก็ตาม USDT ก็ถือว่าเป็นเหรียญที่มีปริมาณการซื้อขายมากสุดเมื่อเทียบกับเหรียญอื่น นักเทรดส่วนมากจึงยังคงเลือกใช้งาน USDT กันอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนั่นเอง
เหรียญToken ไม่ใช่เงิน (แต่เป็นมากกว่าเงิน)
Token เปรียบเสมือนตั๋วหรือแต้มสำหรับแลกหรือเข้าใช้บริการต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้เสมือนตั๋วผ่านทางไปสู่การลงทุน ซึ่ง Token สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 3 รูปแบบ ได้แก่
Utility Token คือ Token ที่ถูกใช้เพื่อการ“กำหนดสิทธิ” ในการรับสินค้าหรือใช้ในบริการที่เจาะจง , Security Token การนำหลักทรัพย์ที่มีจริงในโลกมาแปลงเป็นรูปแบบเหรียญ , Governance Token เป็นโทเคนที่สร้างมาจากแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อเป็นรางวัล ให้กับผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานจะได้สิทธิประโยชน์ ในการถือครองและมีสิทธิโหวตในโปรเจคต์ นอกจากนี้ยังได้รับส่วนแบ่งรายได้ รวมไปถึงการปันผลจากธุรกิจ คล้าย ๆ กับการมีหุ้นส่วนอยู่ในนั้นนั่นเอง
NFT การสร้างมูลค่าให้กับ “สินทรัพย์เสมือน”
การสร้างมูลค่า ให้กับสินทรัพย์เสมือน (virtual asset) ที่จะอยู่ในรูปของเหรียญประเภท Token (Non-Fungible Token : NFT) สินทรัพย์เสมือนนั้นแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย แต่ด้วย “Blockchain” สามารถที่จะสร้างการระบุตัวตน (identity) เอกสิทธิ์เฉพาะ รวมถึงความเป็นเจ้าของที่แท้จริงของสินทรัพย์เสมือนนั้นได้ เช่น ไอเทมในเกมส์ ศิลปะดิจิทัล
ความผิดพลาดครั้งเดียวของ Bitcoin
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ได้เกิดช่องโหว่ครั้งใหญ่ในโปรโตคอลของบิทคอยน์ที่เกิดการเลี่ยงข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์ของบิทคอยน์ และสามารถสร้างบิทคอยน์ขึ้นมาได้ในจำนวนไม่จำกัด ส่งผลให้เกิดการสร้างบิทคอยน์ขึ้นมาเป็นจำนวนกว่า 184 ล้านบิทคอยน์ ผ่านการซื้อขายเพียงแค่หนึ่งครั้ง และถูกส่งไปยังที่อยู่สองที่ในเครือข่าย แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มผู้พัฒนาก็ได้จัดการกับปัญหานี้ได้อย่างทันท่วงที และทำให้ Bitcoin ที่เกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาดในครั้งนี้ถูกลบออกไปจากระบบทันที ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวของ Bitcoin ที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากวันนั้น
กลโกงคลาสสิคในโลกคริปโต (SCAM)
การนำคริปโตมาใช้เป็นเครื่องมือในการฉ้อโกงกันนั้น มักจะมีอยู่ 4 ประภทหลักๆ คือ
-ชวนกันไปขุด(แบบคลาวด์)
การลงทุนที่ยังคงมีความเสี่ยงเพราะไม่แน่ใจว่า Cloud Mining จะนำเงินของผู้ลงทุนไปซื้ออุปกรณ์การขุดจริง ๆ หรือเป็นแค่แชร์ลูกโซ่(โดยนำเงินคนข้างหลังมาให้คนข้างหน้า)กันแน่
-การลงทุนโดยใช้เหรียญคริปโต
ในบางครั้งก็มีการแอบอ้างว่าจะนำเหรียญคริปโตของเราไปลงทุน ในรูปแบบอื่น ๆ หรือไม่ก็เป็นการระดมทุน ICO ด้วยโปรเจคต์ที่ดูสวยหรู แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เชิญชวนนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริง
-คริปโตเคอร์เรนซีปลอม
เหรียญในตลาดคริปโตนั้นมีอยู่มากมาย บางเหรียญก็ตั้งใจทำมาเพื่อให้เป็นรูปแบบแชร์ลูกโซ่อย่างชัดเจน บางเหรียญก็ทำการบ้านในเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีอ้างว่าตนเองนั้นตั้งอยู่บนระบบ Blockchain ที่ดูน่าเชื่อถือ แต่เมื่อไปค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์หลักอย่าง CoinMarketCap กลับไม่พบข้อมูลของเหรียญนั้น ซึ่งเราควรคาดเดาไว้ก่อนเลยว่าเหรียญนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงนั่นเอง
-เว็บไซต์เทรดคริปโตแบบหลอก ๆ
เว็บไซต์ต่างประเทศที่ไม่มีการจัดอันดับหรือเว็บไซต์แปลก ๆ ที่บางทีอาจมีการสวมรอยเว็บไซต์เทรดดัง ๆ เพื่อสร้างมาบังหน้าแล้วหลอกเอาข้อมูลของนักลงทุนไป
จักวาลแห่ง Cryptocurrency นั้นยังคงมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย ยิ่งเราทำการศึกษาค้นคว้าก็จะยิ่งพบถึงความลึกลับซับซ้อน ตั้งแต่เรื่อง พื้นฐานคริปโตเคอร์เรนซี และเรื่องที่ลุ่มลึกมากไปกว่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ทั้งในด้านของเทคโนโลยี และเป็นการเปิดโลกแห่งการลงทุน ที่สำคัญ หากเราสนุกไปกับการเรียนรู้นี้ได้ ชีวิตก็จะมีสีสันมากขึ้นอีกเยอะเลยและยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย