26.7 C
Bangkok
วันอาทิตย์, ธันวาคม 3, 2023

ทุนน้อยก็เริ่มเทรดได้ เพียงมีเงินแค่ 10,000 บาท

Must read

หลาย ๆ คนที่ ทุนน้อยก็เริ่มเทรดได้ เพียงมีเงินแค่ 10000 บาท ก็สามารถทำกำไรได้อย่างงอกเงย แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้จักวางแผนการใช้เงินก่อน โดยเงินที่เราจะนำมาลงทุนนั้นต้องเป็นเงินเย็นไม่ใช่เงินร้อน หรือเป็นเงินที่หากต้องสูญเสียหรือขาดทุนไปก็จะไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตของเรา  และที่สำคัญต้องไม่เป็นเงินที่หยิบยืมมาจากที่อื่นเพื่อเอามาลงทุน เพราะในตลาดคริปโตเราต้องยอมรับความเสี่ยงการลงทุนของเราให้ได้ แล้วถ้าหากมีเงินทุนน้อยจะสามารถเข้าเทรดได้อย่างไรให้ได้ผลแทนที่ดีที่สุด

การซื้อและถือยาว/DCA- เทรด Spot

ในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนขาขึ้น จะมีช่วงที่เรียกว่า “Party Alt Coin” หรือที่รู้จักกันในช่วงของ Alt coin season ที่เหล่าบรรดาสกุลเงินดิจิทัล ต่างพากันบวกเป็นพื้นที่สีเขียวให้เห็นทั้งตาราง เราจะรับรู้ได้ว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น และสามารถพิจารณาได้ง่าย ๆ คือการสังเกตจาก ราคาของ BTC ที่มีสัดส่วนของ ส่วนแบ่งทางตลาด เกินกว่าครึ่งของเงินหมุนเวียนในตลาดคริปโตทั้งหมด หรืออาจเรียกได้ว่าราคาของ Bitcoin นั้นล้อไปกันกับดัชนีภาพรวมของตลาด Crypto Index (CIX)

หากว่าเราจะเข้าลงทุนด้วยการ ซื้อ และ ถือ(เก็บเหรียญเอาใว้ใน Wallet) โดยอาจพิจารณาจากเหรียญที่ติดอันดับ 1 ใน 100 บน CoinMarkerCap ตอนที่ราคาที่ยังไม่ค่อยมีความผันผวนมากนัก โดยเราจะเเบ่งเงินออกเป็น 4 ส่วนแล้วจัดสรรการออกไม้(เปิดสถานะเทรด) ตามสัดส่วนสัก ¼ หรือ 2/4 ของเงินทุน (เช่น 10,000บาท) เราอาจจะเลือกซื้อเหรียญที่มีแนวโน้มเก็บไว้สักประมาณ 3,000 – 5,000 บาท โดยการคิดแบบเทรดเดอร์นั้น จะต้องเหลือทางกลับไว้ด้วยเสมอ เราจะไม่ลงเงินทั้งหมดในครั้งเดียว เพราะต้องสำรองเงินอีกส่วนเอาไว้ยามฉุกเฉิน เช่น ใช้แก้ไม้ หรือแก้สถานการณ์ตลาดขาลง และสามารถนำไปเพิ่มโอกาสในการลงทุนได้ และที่สำคัญ คือการเหลือสำรองไว้สำหรับ “สถานการณ์พิเศษ”

การนำไป Staking

การขุดในรูปแบบของวางเหรียญที่เรามี (Proof of Stake) สามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ว่า มีหลักการคล้าย ๆ กับการฝากเงินและได้ดอกเบี้ย เช่น ในแพลตฟอร์มของกระดานเทรด Binance แบ่งการทำ Stake ได้เป็น 2 ประเภท คือ

Locked staking เป็นการนำเหรียญมาล็อคไว้ ระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30 / 60 / 90 วัน (โดยระหว่างการล็อคผู้ใช้จะไม่สามารถถอนเหรียญ หรือกระทำการใด ๆ กับเหรียญได้) จนกว่าจะครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ตอนต้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการถือเหรียญไว้ยาว ๆ แต่ระหว่างถือก็สามารถสร้างผลตอบแทนไปด้วย

DeFi staking สามารถเข้าร่วม Defi Mining ผ่าน Smart contract สามารถให้ผลตอบแทนสำหรับผู้ใช้งาน (หากทำใน Binance จะลดขั้นตอนทุกอย่างลง) โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม และขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำธุรกรรม 

การปล่อยให้กู้ด้วยเหรียญคริปโตโดยการวางเหรียญไว้ในระบบ เช่น ใน Binance Saving เป็นการสร้างสภาพคล่องให้กับ แพลตฟอร์มนั้น ๆ หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า Liquid Mining โดยเรานั้นจะได้รับผลตอบแทนจาก ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม หรือได้เป็น เหรียญ (Token) ที่แพลตฟอร์มนั้น ๆ ให้ หลักการทำงานคล้ายกับการได้รับดอกเบี้ยปันผลจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลวางไว้ให้นักเทรดได้ยืมเพื่อนำไปเทรดในตลาด Margin , Futures  โดยทางแพลตฟอร์มจะจ่ายดอกเบี้ยให้แก่เรา เพื่อเป็นผลตอบแทน

ปัจจุบันมีเหรียญคริปโตให้เลือกในการปล่อยกู้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin (BTC) , Ethereum (ETH),  Binance USD (BUSD) , Tether (USDT) โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Flexible Saving เรา สามารถถอนได้ตลอดเวลา การฝากประเภทนี้จะสามารถตั้งค่า Auto *subscription เพื่อนำเหรียญไปฝากใน Flexible saving ได้โดยอัตโนมัติ และอีกหนึ่งประเภท คือ Locked Saving เป็นการฝากเหรียญเอาไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด  (เช่น 7 วัน 14 วัน จนถึง 90 วัน) เมื่อครบตามระยะเวลา คุณก็จะได้เงินทุนกลับคืนพร้อมกับดอกเบี้ยที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า 

ในโลกของคริปโต ยังมีประเภทของการลงทุนอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติม แต่ไม่ต้องกังวลไปว่ามีเงินน้อยทำให้ไม่กล้าลงทุน เพราะไม่ว่าใคร ๆ ที่มีความตั้งใจก็สามารถทำได้ แม้จะ ทุนน้อยก็เริ่มเทรดได้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าจำนวนเงินคือ การบริหารจัดการความเสี่ยง ควรลงทุนในจำนวนเงินที่เราสามารถรับกับความเสี่ยงได้ และต้องเป็นเงินส่วนที่แบ่งออกมาจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง เราจึงต้องศึกษาข้อมูลและบริหารความเสี่ยงให้ดีก่อนการลงทุน

Facebook Comments Box
- Advertisement -spot_img
- Advertisement -spot_img

Latest article